วันเสาร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2556

น้ำอัดลม

น้ำอัดลม


น้ำอัดลม เป็นเครื่องดื่มชนิดหนึ่งที่ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ มีสีสันแตกต่างกันไป มีคนนิยมดื่มมากและสามารถหาซื้อได้ทั่วไปในร้านที่ขายเครื่องดื่ม นิยมบรรจุในรูปแบบกระป๋อง ขวดแก้ว ขวดพลาสติก เป็นต้น

ส่วนประกอบ
น้ำอัดลมมีส่วนประกอบที่สำคัญ 3 ส่วน คือ น้ำ (น้ำนี้จะต้องเป็นน้ำสะอาด สามารถใช้น้ำประปา แต่ส่วนใหญ่แล้วจะมาจากน้ำบาดาลที่ผ่านการกรองและฆ่าเชื้อโรคด้วยคลอรีน), น้ำตาล, สารปรุงแต่งที่เรียกว่าหัวน้ำเชื้อ ซึ่งเป็นส่วนผสมของสารที่ให้กลิ่นและสี, และกรดคาร์บอนิกซึ่งถูกอัดเข้าในภาชนะบรรจุ บางครั้งมีส่วนผสมของน้ำผลไม้เล็กน้อย น้ำอัดลมแต่ละยี่ห้อก็มีส่วนผสมลับเฉพาะของตนเอง
กรดคาร์บอนิกในภาชนะบรรจุเมื่อสัมผัสอากาศ จะแยกตัวเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์กับน้ำ เป็นฟองที่เกิดขึ้นเวลาเปิดขวดหรือกระป๋อง การเขย่าก็เป็นการกระตุ้นปฏิกิริยาของกรดคาร์บอนิกให้เกิดเร็วขึ้นและมากขึ้น ฟองก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ก็เกิดมากขึ้นจนล้นภาชนะได้
น้ำอัดลมแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท ตามลักษณะเฉพาะของกลิ่นรสและสีของผลิตภัณฑ์ ดังนี้
  1. น้ำอัดลมรสโคล่า – น้ำอัดลมประเภทนี้ปรุงแต่งด้วยหัวน้ำเชื้อโคล่าซึ่งมีคาเฟอีนที่สกัดจากใบของต้นโคคาอยู่ด้วย ปริมาณของคาเฟอีนในน้ำอัดลมชนิดโคล่าก็จะแตกต่างกันไปตามยี่ห้อ สำหรับสีน้ำตาลเข้มที่เป็นที่มาของสีน้ำดำนั้น มาจากสีผสมอาหารที่เป็นสีของน้ำตาลเคี่ยวไหม้
  2. น้ำอัดลมที่ไม่ใช่โคล่า – ได้แก่น้ำอัดลมใสไม่มีสีที่ปรุงแต่ด้วยหัวน้ำเชื้อเลมอน-ไลม์ และน้ำอัดลมที่ปรุงแต่งกลุ่นรสเลียนแบบน้ำผลไม้ เช่น ส้ม องุ่น มะนาว ลิ้นจี่ น้ำหวานอัดลม พวกน้ำเขียว น้ำแดง และรูทเบียร์ เป็นต้น น้ำอัดลมเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วจะไม่มีคาเฟอีน เนื่องจากไม่ได้ปรุงแต่ด้วยหัวน้ำเชื้อชนิดโคล่า อย่างไรก็ตามอาจมีการเติมคาเฟอีนสกัดเล็กน้อยในส่วนผสม เพื่อให้ได้ฤทธิ์กระตุ้นของคาเฟอีน ทำให้รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า

    น้ำอัดลมที่มีขายในประเทศไทย

    • เอส โคล่า ผลิตโดย บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน)

    • เป๊ปซี่ ผลิตโดย บริษัท เป๊ปซี่-โคล่า(ไทย)เทรดดิ้ง จำกัด

    • โค้ก ผลิตโดย บริษัท โคคา-โคลา (ประเทศไทย) จำกัด , บริษัท หาดทิพย์ จำกัด ,บริษัท ไทยน้ำทิพย์ จำกัด

    • รอยัลคราวน์ โคลา หรือ อาร์ซี โคล่า (RC Cola) ผลิตโดย บริษัท สากลเบเวอเร็ดจ์ จำกัด

    • กระทิงแดง โคลา ผลิตโดย บริษัท เครื่องดื่มกระทิงแดง จำกัด

    • บิ๊กโคลา ผลิตโดย บริษัท อาเจไทย จำกัด

    • แฟนต้า ผลิตโดย บริษัท ไทยน้ำทิพย์ จำกัด

    • มิรินด้า ผลิตโดย บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) , บริษัท เป๊ปซี่-โคลา (ไทย) เทรดดิ้ง จำกัด

    • สไปรต์ ผลิตโดย บริษัท ไทยน้ำทิพย์ จำกัด ,บริษัท โคคา-โคลา (ประเทศไทย) จำกัด

    • เซเว่นอัพ ผลิตโดย บริษัท เป๊ปซี่-โคลา (ไทย) เทรดดิ้ง จำกัด ,บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน)

ไอศกรีม

ไอศกรีม


ไอศกรีม หรือภาษาปากว่า ไอติม เป็นของหวานแช่แข็งชนิดหนึ่ง ได้จากการผสมส่วนผสม นำไปผ่านการฆ่าเชื้อ แล้วนั้นนำไปปั่นในที่เย็นจัด เพื่อเติมอากาศเข้าไปพร้อม ๆ กับการลดอุณหภูมิ โดยอาศัยเครื่องปั่นไอศกรีม ไอศกรีมตักโดยทั่วไปจะต้องผ่านขั้นตอนการแช่เยือกแข็งอีกครั้งก่อนนำมาขายหรือรับประทาน


ประวัติ 
ต้นกำเนิดของไอศกรีมนั้น ไม่เป็นที่แน่ชัดมาเริ่มจากไหน บางข้อมูลก็ว่าเริ่มมีมาตั้งแต่สมัยจักรพรรดิเนโรแห่งจักรวรรดิโรมัน ที่ได้มีการพระราชทานเลี้ยงไอศกรีมทหาร โดยในสมัยนั้นทำจากเกล็ดน้ำแข็ง (หิมะ) ผสมน้ำผึ้งและผลไม้ ซึ่งคล้ายกับไอศกรีมเชอร์เบตในปัจจุบัน แต่บ้างก็ว่ามาจากประเทศจีนเกิดจากเมื่อสมัยโบราณที่นมถือเป็นของหายาก จึงได้มีการคิดวิธีเก็บรักษาโดยการเอาไปฝังในหิมะ จึงเกิดเป็นไอศกรีมขึ้น แม้จะไม่ได้มีลักษณะเหมือนกับไอศกรีมอย่างทุกวันนี้
แต่บ้างก็ว่ามาจากอิตาลีโดยมาร์โค โปโล กลับจากจีนแล้วเอาสูตรไอศกรีมมาเผยแพร่ ซึ่งในตอนนั้นไอศกรีมของจีนยังไม่มีนม เป็นคล้ายน้ำแข็งไสมากกว่า ยังมีจุดเริ่มต้นจากอังกฤษเมื่อสมัยพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 พ่อครัวคนหนึ่งมีสูตรเด็ดเป็นครีมแช่แข็งปรุงรส ซึ่งเป็นสูตรลับสุดยอดที่ส่งเป็นของหวานถวายพระองค์ ทว่าเมื่อพระองค์ถูกปลงพระชนม์โดยโอลิเวอร์ ครอมเวลล์ ระหว่างสงครามกลางเมืองอังกฤษระหว่างปี ค.ศ. 1642-ค.ศ. 1651 พ่อครัวต้องลี้ภัยไปยุโรปจึงได้นำสูตรไอศกรีมนี้เผยแพร่ออกไป

ไอศกรีมในประเทศไทย
ในประเทศไทยนั้น ไอศกรีมเริ่มเข้ามาในช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นหนึ่งในวัฒนธรรมตะวันตกที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงนำมาเผยแพร่ในสยาม หลังเสร็จประพาสอินเดียชวาและสิงคโปร์ น้ำแข็งในตอนแรก ๆ ก็ยังไม่สามารถผลิตในประเทศได้ จึงต้องนำเข้าจากประเทศสิงคโปร์ เมื่อไทยสั่งเครื่องทำน้ำแข็งเข้ามาก็เริ่มมีการทำไอศกรีมกินกันมากขึ้น ถือว่าไอศกรีมเป็นของเสวยเฉพาะสำหรับเจ้าขุนมูลนายเท่านั้น ซึ่งสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพบันทึกไว้ว่า
ไอศกรีมเป็นของที่วิเศษในเวลานั้น เพราะเพิ่งได้เครื่องทำน้ำแข็งอย่างเล็กที่เขาทำกันตามบ้านเข้ามา ทำบางวันน้ำก็แข็งบางวันก็ไม่แข็ง มีไอศกรีมบ้างบางวันก็ไม่มี จึงเห็นเป็นของวิเศษ

โดยไอศกรีมในพระราชวังนั้นจะทำจากน้ำมะพร้าวอ่อน ใส่เม็ดมะขามคั่ว จนต่อมาเมื่อมีโรงงานทำน้ำแข็ง แต่ก็ยังถือเป็นของชั้นดี โดยมีไอศกรีมระดับชาวบ้านทำเองด้วย ในช่วงแรก ๆ นั้นไอศกรีมกะทิมีลักษณะเป็นน้ำแข็งละเอียดใส ๆ รสหวานไม่มาก และมีกลิ่นหอมของดอกนมแมว ในสมัยนั้นวิถีการกินของผู้คนจะนิยมกินอาหารกันในเรือนแพ เหมือนที่สมัยนั้นจะขายก๋วยเตี๋ยว หรือกาแฟกันบนเรือ
ลักษณะของไอศกรีมกะทิใส่ถ้วยพร้อมโรยด้วยถั่วลิสงคั่วก็มีมาตั้งแต่สมัยนั้น ซึ่งต่อมาไอศกรีมกะทิก็มีการเปลี่ยนแปลงพัฒนาขึ้น จากกะทิใส ๆ ก็มีความเข้มข้น มีการใส่ลอดช่อง, เม็ดแมงลัก และขนุนฉีกเข้าไป โดยคนไทยได้ดัดแปลงไอศกรีมของต่างชาติมาเป็นไอติมกะทิ โดยใช้กะทิสดผสมกับน้ำตาลนำไปปั่นให้แข็ง เนื้อไอติมค่อนข้างใสเป็นเกล็ดน้ำแข็งละเอียด เวลารับประทานต้องขูดไอติมออกจากขอบหม้อโลหะเมื่อไอติมเริ่มแข็งตัว ตอนขายตักใส่ถ้วยเป็นลูก ๆ เรียกไอติมตัก กินกับถั่ว ข้าวเหนียว หรือลูกชิด บางคนกินกับขนมปังที่หั่นเป็นท่อน และมีรอยแยกเป็นร่องอยู่ตรงกลาง [1]
ส่วน ไอศกรีมหลอด หรือไอศกรีมแท่งก็เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 7 โดยใช้น้ำหวานใส่หลอดสังกะสีและเขย่าให้แข็ง และมีก้านไม้เสียบ โดยจะใส่ถังขับไปขายตามถนน สั่นกระดิ่งเป็นสัญญาณเพื่อเรียกลูกค้า นอกจากนี้ยังมีจุดขายที่การลุ้นไอศกรีมฟรีจากไม้เสียบที่หากมีสีแดงป้ายอยู่ก็จะได้กินฟรีอีกหนึ่งแท่งด้วย ซึ่งไอศกรีมแบบหลอดก็มีการพัฒนาจนมาเป็นไอศกรีมโบราณที่มีส่วนผสมของนมโดยมีลักษณะเป็นแท่งสี่เหลี่ยม อาจทานเป็นแท่ง หรือตัดใส่ถ้วยรับประทานก็ได้
จากนั้นมาก็เป็นยุคของไอศกรีมแบบวัฒนธรรมตะวันตกแท้ ๆ จนถึงปัจจุบัน



ไอศกรีมในรูปแบบต่างๆ

ไอศรีมโคน







น้ำแข็ง

น้ำแข็ง



น้ำแข็ง เป็นชื่อเรียกของสภาวะของแข็งของน้ำซึ่งมักอยู่ในรูปของผลึกของน้ำ ซึ่งโดยปกติจะมีลักษณะใสหรือมีสีฟ้าขาวใสปนอยู่ด้วย ขึ้นอยู่กับการมีสิ่งเจือปนในน้ำแข็งนั้น โดยสภาวะปกติน้ำแข็งจะเกิดขึ้นเมื่อน้ำในรูปของเหลวมีอุณหภูมิต่ำกว่า 0 องศาเซลเซียส (32 องศาฟาเรนไฮต์ หรือ 273.15 เคลวิน) ที่ความดันปกติ และสามารถแข็งตัวจากสถานะก๊าซโดยไม่ผ่านสถานะของเหลวเลยก็ได้ เช่น ปรากฏการณ์น้ำค้างแข็งหรือแม่คะนิ้ง


น้ำแข็งในธรรมชาติอยู่ในแหล่งต่างๆ เช่น เกล็ดหิมะ ลูกเห็บ น้ำแข็งย้อย ธารน้ำแข็ง ภูเขาน้ำแข็งและน้ำแข็งขั้วโลก ซึ่งน้ำแข็งเป็นส่วนสำคัญของสมดุลภูมิอากาศของโลก โดยเฉพาะวัฏจักรของน้ำ นอกจากนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมต่างๆ อีกด้วย ตั้งแต่ การใส่น้ำแข็งในน้ำดื่ม กีฬาฤดูหนาว จนไปถึงประติมากรรมน้ำแข็ง

เกล็ดหิมะ

ลูกเห็บ

น้ำแข็งย้อย

ธารน้ำแข็ง

ภูเขาน้ำแข็ง

น้ำแข็งขั้วโลก


คุณลักษณะ
ในฐานะเป็นธรรมชาติที่เกิดขึ้นเป็นผลึกอนินทรีย์ที่เป็นของแข็งที่มีโครงสร้างเป็นระเบียบ, น้ำแข็งถือเป็นแร่ ชนิดหนึ่ง ประกอบด้วยโครงสร้างผลึกซึ่งปกติขึ้นอยู่กับโมเลกุลของน้ำซึ่งประกอบด้วยอะตอมออกซิเจนอะตอมเดียวที่ถูกยึดเหนี่ยวไว้ด้วยพันธะโควาเลนซ์ถึงสองอะตอมไฮโดรเจนหรือ H-O-H อย่างไรก็ตาม คุณสมบัติทางกายภาพหลายอย่างของน้ำและน้ำแข็งจะถูกควบคุมโดยการก่อตัวของพันธะไฮโดรเจนระหว่างอะตอมออกซิเจนและอะตอมไฮโดรเจนที่อยู่ติดกัน มันเป็นพันธะที่อ่อนแอ แต่เป็นสิ่งสำคัญในการควบคุมโครงสร้างของทั้งน้ำและน้ำแข็ง
คุณสมบัติที่ผิดปกติของน้ำแข็งที่ความดันบรรยากาศที่เป็นของแข็งจะอยู่ที่ประมาณ 9% ที่ความหนาแน่นน้อยกว่าน้ำ ความหนาแน่นของน้ำแข็งคือ 0.9167 กรัม ต่อ ลูกบาศก์เซนติเมตร ที่ 0 องศาเซลเซียส ในขณะที่น้ำมีความหนาแน่นที่ 0.9998 กรัม ต่อ ลูกบาศก์เซนติเมตร ที่อุณหภูมิเดียวกัน น้ำเป็นของเหลวที่มีความหนาแน่นมากที่สุดเป็นหลักคือ 1.00 กรัม ต่อ ลูกบาศก์เซนติเมตร, ที่ 4 องศาเซลเซียส และจะกลายเป็นความหนาแน่นน้อยก็ต่อเมื่อโมเลกุลของน้ำเริ่มกลายเป็นผลึกรูปทรงหกเหลี่ยม ของน้ำแข็งเมื่อถึงจุดเยือกแข็ง ทั้งนี้เนื่องจากพันธะไฮโดรเจนมีอำนาจเหนือกว่าแรงระหว่างโมเลกุล ซึ่งส่งผลให้มีการบรรจุของโมเลกุลขนาดกะทัดรัดกว่าไว้ในของแข็ง ความหนาแน่นของน้ำแข็งจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยด้วยการลดอุณหภูมิลงและมีค่า 0.9340 กรัม ต่อ ลูกบาศก์เซนติเมตร ที่ -180 องศาเซลเซียส (93 เคลวิน)







วันเสาร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2556

สนามบินที่น่านอนที่สุดในโลก

ทำไมต้องนอนในสนามบิน

     หลายครั้งที่ผู้โดยสารบินไปถึงจุดหมายในเวลากลางคืน ซึ่งบางเมืองจะไม่มีรถขนส่งสาธารณะให้บริการเข้าตัวเมืองจนกว่าจะเช้า ถ้าออกนอกบริเวณสนามบินก็ไม่มีที่ไปอยู่ดี หลายคนจึงเลือกนอนในสนามบินจนกว่าจะเช้าแทน บางคนที่ต้องรอเปลี่ยนเครื่อง แต่ระยะเวลารอไม่มากพอจะออกไปเที่ยวในประเทศนั้นหรือเหนื่อยจนไม่อยากไปไหนก็เลือกที่จะนอนรอในบริเวณสนามบินค่ะ

     จริงๆ แล้วไม่ใช่สนามบินทุกแห่งจะอนุญาตให้เรานอนนะคะ บางที่ห้ามเด็ดขาด ยามจะมาไล่ตลอด บางที่ก็ให้นอนได้แค่บางบริเวณเท่านั้น บางที่ก็มีโรงแรมภายในอาคารสนามบินให้บริการแบบรายชั่วโมง ซึ่งราคาค่อนข้างสูงมาก ฉะนั้นจะไปสนามบินไหน อย่าลืมตรวจสอบให้ดีนะคะว่าสามารถนอนค้างในสนามบินได้หรือไม่ เพราะบางที่ยามก็โหดสุดๆ ไปเลยค่ะ

ใครเป็นคนจัดอันดับ

     อันดับสนามบินน่านอนเป็นการจัดอันดับของเว็บไซต์ sleepinginairports.net ที่รวบรวมความคิดเห็นจากผู้ใช้บริการจริงมาตั้งแต่ปี 1996 และยังถูกนำไปอ้างอิงโดย TIME, Reuters, USA Today, CNBC, The New York Times, CNN และอีกหลายสำนักข่าว ผู้โหวตคือผู้ใช้บริการสนามบินนั้นๆ จริงแล้วส่งภาพพร้อมข้อมูลมาให้ทางเว็บประเมินข้อดีข้อเสีย เพื่อจัดอันดับ

เกณฑ์การให้คะแนน

     ปกติการให้คะแนนสนามบินยอดเยี่ยมจะดูทั้งเรื่องความรวดเร็วของการตรวจคนเข้าเมือง การสแกนกระเป๋า หาที่จอดรถ รวมไปถึงความหลากหลายของสายการบินที่ลงจอดที่นั่น แต่การจัดอันดับสนามบินน่านอนจะไม่เอาเรื่องพวกนั้นมาพิจารณาค่ะ เพราะมันไม่ได้เกี่ยวข้องกับความสุขในการนอนเลย เกณฑ์การให้คะแนนมีอยู่ 4 ข้อค่ะ หรือที่เรียกว่า 4C ได้แก่ comfort, conveniences, cleanliness และ customer service

     Comfort (ความสบาย) คือต้องมีที่ให้นอนเยอะๆ เบาะนุ่มๆ ไม่ใช่เหล็กเย็นๆ แข็งๆ และที่นั่งจะต้องไม่มีที่วางแขนด้วย เพราะจะได้นอนเหยียดยาวได้เลย
     Conveniences (ความสะดวก) คือต้องมี WiFi ฟรี มีร้านอาหารที่เปิด 24 ชม. มีห้องน้ำรวมทั้งห้องอาบน้ำ และมีกิจกรรมอื่นๆ ให้ทำระหว่างรอเปลี่ยนเครื่อง
     Cleanliness (ความสะอาด) ห้องน้ำต้องสะอาด ทางเดินต้องไม่มีขยะ มีถังขยะตั้งเป็นระยะ ไม่มีกลิ่นเหม็นหรือกลิ่นอับภายในส่วนที่ให้นอน
     Customer Service (การบริการลูกค้า) เจ้าหน้าที่ต้องเฟรนด์ลี่ ยิ้มแย้มแจ่มใส เต็มใจช่วยเหลือ มีหมอนมีผ้าห่มบริการ และยินดีให้ผู้โดยสารนอนค้างในสนามบิน

อันดับ 1 Singapore Changi International Airport (SIN)
เป็นสนามบินที่สุดแห่งความน่านอนเพราะได้รางวัล Golden Pillow หรือหมอนทองคำ (ไม่ใช่ทุเรียนนะ) มาถึง 16 ปีซ้อน เพราะมีทั้งเก้าอี้เอนเหมือนเตียงนิ่มๆ ให้บริการฟรี แถมยังหรี่ไฟบริเวณนั้นให้นอนกันได้สบายๆ ด้วย ขนาดพี่ที่เป็นคนนอนหลับยากมากและมักไม่หลับในที่แปลกถิ่น ยังนอนได้อย่างไม่น่าเชื่อเลยค่ะ


นอกจากนี้ยังมีโซนฉายภาพยนตร์ให้ดูด้วย วันนั้นที่พี่ไปเขาเปิดช่อง Fox Movies Premium ให้ดู เหมือนอยู่บ้านเลยค่ะ พนักงานในสนามบินก็ดีเยี่ยมนะคะ เพราะตอนเดิน ขับรถ หรือจะทำความสะอาดผ่านบริเวณนี้ เขาจะลดเสียงให้เบาที่สุด เดินก็ผ่อนน้ำหนักไม่ให้มีเสียง พนักงานขัดพื้นยังดับเครื่องยนต์จนกว่าจะผ่านจุดนี้ไปเลย เสียงดังที่รบกวนมีแค่ตอนกรุ๊ปทัวร์จีนเดินผ่าน 



 อีกหนึ่งความประทับใจคือมีผ้าห่มแจกฟรีด้วย จะดีไปไหนเนี่ย ถ้าไม่มีที่นอนเหลือ บางบ้านก็ปูผ้าห่มนอนกับพื้นแต่ก็ไม่โดนไล่ค่ะ เขาเข้าใจกันว่าต่างคนก็ต่างมานอนรอตอนเช้าที่รถไฟฟ้าเปิดบริการ สัญญาณ WiFi ก็แรงดีค่ะ ไม่ต้องไปขอรหัสอะไรเลยด้วย ชอบมาก

ข้อเสียคือ น่าจะมีเก้าอี้นอนเพิ่มมากกว่านี้ เพราะไม่เพียงพอต่อความต้องการในบางช่วงเวลา


เด็กดีดอทคอม :: 5 อันดับสนามบินที่น่านอนที่สุดในโลก



อันดับ 2 Seoul Incheon International Airport (ICN)

     อีกหนึ่งสนามบินที่ตัวพี่เองก็ติดใจเอามากๆ เพราะตอนไปอเมริกาก็เปลี่ยนเครื่องที่นี่ตลอด บางครั้งนอนกลางคืน บางครั้งนอนกลางวัน บางครั้งรอนานมากก็เข้าไปมยองดงเล่นๆ ก่อนกลับเข้าสนามบินใหม่ 555 เป็นสนามบินที่ครบวงจรดีมากเลยค่ะ เครื่องคอมพร้อมอินเตอร์เน็ตก็มีบริการเป็นระยะ ใครที่ไม่มีเครื่องมือเล่น WiFi มาเองก็ไปเล่นของสนามบินได้ สะดวก ไม่ถามอะไรเลยด้วย แต่ก็มีพนักงานสาวสวยอยู่ใกล้ๆ เพื่อให้ความช่วยเหลือ


 เรื่องที่นอนก็มีทั้งแบบเก้าอี้เอนนอนและเก้าอี้ธรรมดา ถ้าใครกลัวจะหลับเพลินแล้วตกเครื่องก็สามารถนอนรอหน้าประตูขึ้นเครื่องได้เลยค่ะ เก้าอี้ไม่มีที่วางแขน นอนเหยียดไปได้เลย เก้าอี้แต่ละเกทก็มีเยอะมาก เพียงพอที่ผู้โดยสารจะมานั่งรอ ทำให้ไม่รู้สึกผิดที่เรานอนกินที่ 3 เก้าอี้ ถ้าตื่นมาเบื่อๆ ก็ดูขบวนพาเหรดชุดฮันบกได้นะคะ มีมาเรื่อยๆ เลย


 สนามเด็กเล่นเล็กๆ ก็มีนะคะ ช่วงที่ไม่มีใครเลยพี่ก็แอบไปนั่งม้าโยกมาค่ะ แต่พอเห็นลุงยามมาไกลๆ ก็รีบลุกเพราะกลัวเขาว่าว่าน้ำหนักเกินเดี๋ยวของจะพัง ร้านอาหาร ร้านเครื่องดื่ม ร้านขนมก็มีอยู่ตลอดแทบจะประตูเว้นประตู ห้องน้ำก็มีเรื่อยๆ พนักงานทำความสะอาดบ่อยจึงไม่มีกลิ่น และยังมีเครื่องกดน้ำฟรีอีกด้วย และที่สาวๆ น่าจะชอบมากที่สุดคือมี Duty Free เยอะมาก เดี๋ยวก็เจอ เดี๋ยวก็เจอ พี่ยังเข้าไปเนียนชิมช็อคโกแลตฟรีเรื่อยๆ เลย



 ข้อเสียคือ อาหารและเครื่องดื่มน่าจะถูกกว่านี้ ส่วนใหญ่จะแพงเว่อร์เกินควร



อันดับ 3 Hong Kong International Airport (HKG)

     ไม่ได้ไปฮ่องกงมาหลายปีมากแล้ว ยุคนั้นยังไม่มี WiFi เลย 555 ความทรงจำพี่เลยมีแต่เรื่องนอนกับนั่งอ่านหนังสือ แต่ตอนนี้สนามบินฮ่องกงแข่งกับอินชอนสูสีมากค่ะ ผลัดกันเป็นที่ 2 ที่ 3 กันคนละปี ฉะนั้นรายละเอียดต่างๆ จึงเหมือนกับที่อินชอน คือมี WiFi ฟรี และมีเก้าอี้นอน รวมถึงเก้าอี้นั่งแบบไม่มีที่วางแขน 


 ร้านค้าก็เปิดตลอดเวลาแถมภาษาอังกฤษของพนักงานดีกว่าที่อินชอนมากๆ ในส่วนของความบันเทิงก็มีการสาธิตการชงชาและทำยาจีนค่ะ รวมไปถึงตู้เกม ถ้าใครได้แวะพักเปลี่ยนเครื่องที่นี่ก็น่าจะเป็นสถานที่เหมาะกับการยืดแข้งยืดขาหลังนั่งเครื่องบินมาหลายชั่วโมง
   
     ข้อเสียคือ WiFi ฟรีช้าไปหน่อย และห้องอาบน้ำมีไม่พอค่ะ





อันดับ 4 Amsterdam Schiphol Airport (AMS)

     เป็นสนามบินที่น่านอนมากที่สุดในยุโรป เพราะไม่เน้นช้อปปิ้ง แต่เน้นการผ่อนคลายให้ผู้โดยสารล้วนๆ เลยค่ะ จุดงีบมีเยอะมากๆ และกระจายทั่วอาคารผู้โดยสาร เก้าอี้เอนสำหรับนอนก็เป็นทรงเก้าอี้ชายหาดที่เหมาะกับการพักผ่อน นอกจากนี้ยังมีทั้งพิพิธภัณฑ์ศิลปะ ห้องสมุด งานแสดง โรงยิม สปา ห้องซาวน่า คาสิโน รวมไปถึงโรงภาพยนตร์แบบ 6 มิติ ที่แม้จะเป็นกิจกรรมที่ต้องเสียเงิน แต่ก็ได้รับความสนใจไม่น้อย



ผู้ใช้บริการหลายท่านคอนเฟิร์มว่าโซนสำหรับนอนนั้น เงียบได้ใจสุดๆ ไปเลยด้วย เพราะถ้ามีใครเสียงดังขึ้นมา เจ้าหน้าที่จะเชิญออกให้เลยค่ะ

     ข้อเสียคือ WiFi ฟรีใช้ได้แค่ 1 ชั่วโมงเท่านั้น น่าจะให้ฟรีตลอด



อันดับ 5 Kuala Lumpur International Airport - KLIA (KUL)

     นอกจากจะดูเป็นสนามบินแห่งแสงสีแล้ว ก็เป็นสนามบินที่เหมาะกับการนอน เพราะมีเก้าอี้เป็นม้านั่งยาวเรียบๆ มีเบาะที่ทำให้นอนราบได้อย่างสะดวก ไม่รู้สึกถึงร่องระหว่างที่นั่ง บางคนก็ดันม้านั่งยาวสองตัวเข้าหากันทำเป็นเตียงคู่ไว้นอนด้วยกัน 2 คนได้อย่างสบายๆ ยกเท้าพาดกระเป๋าก็เพิ่มความสบายให้กับขาที่อ่อนล้าจากการเดินทางได้ เก้าอี้เอนมีบริการเล็กน้อย แต่หลายคนเลือกปูเสื่อนอนกับพื้นแทนก็ไม่ได้ถูกดุอะไร



มีบริการทั้ง WiFi ฟรีและคอมพิวเตอร์พร้อมอินเตอร์เน็ต แต่ไม่มีกิจกรรมอื่นให้ทำแล้วนอกจากนี้ ยกเว้นการเดินชมแสงสีและการจัดสนามบินสวยๆ

     ข้อเสียคือ ร้านอาหารที่เปิด 24 ชั่วโมงมีไม่กี่แห่ง และขายอาหารไม่กี่ประเภทเท่านั้น ถ้าจะไปรอขึ้นเครื่องช่วงกลางคืนควรพกอาหารรองท้องไปเอง



อันดับ 6 Helsinki Vantaa Airport (HEL)




อันดับ 7 Vancouver International Airport (YVR)




 อันดับ 8 Munich Airport (MUC)




 อันดับ 9 Zurich Airport (ZRH)




อันดับ 10 Toronto Lester B. Pearson International Airport (YYZ)



ขอบคุณที่มา : www.dek-d.com พี่พิซซ่าค่ะ